'อาร์เจนติน่า' ทีมบาสเหรียญทองโอลิมปิก 2004 กับตำนานความห้าวที่ไม่มีใครเอาลง

Author Photo

นับตั้งแต่ที่อเมริกาส่งทีมชุดที่ถูกเรียกว่า “ดรีมทีม” ลงแข่งขันในบาสเกตบอลโอลิมปิก พวกเขาก็ไม่เคยพลาดการคว้าเหรียญทองเลยสักครั้ง และหลาย ๆ ครั้งเป็นการชนะอย่างขาดลอยแบบคู่แข่งต้านไม่ได้แม้นิดเดียว

อย่างไรก็ตามความไร้เทียมทานของชาติที่ให้กำเนิดบาสเกตบอลก็ต้องมาพบกับความพ่ายแพ้ชนิดที่หมดรูปในโอลิมปิก 2004 เมื่อพวกเขาเจอกับ อาร์เจนติน่า ชาติที่ไม่เคยคว้าเเชมป์รายการระดับโลกมาก่อนแม้แต่หนเดียว

อาร์เจนติน่า ชุดปี 2004 เอาอะไรมาชนะ อเมริกา ที่เปรียบเสมือนทีมรวมดาราโลกในโอลิมปิกครั้งนั้น

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดที่นี่ 

แล้วใครจะชนะอเมริกา ? 

ไม่จำเป็นต้องแปลกใจเลยว่าเหตุใดเมื่อโอลิมปิกเวียนมาถึง อเมริกา คือชาติที่เป็นตัวเต็งอันดับ 1 ในการแข่งขันบาสเกตบอล เพราะเกือบทุกครั้งที่การแข่งขันสิ้นสุดลงทัพอเมริกันมักจะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโพเดี้ยม พร้อมกับรับเหรียญทองและฉลองชัยในฐานะเเชมเปี้ยน

เรื่องนี้มีที่มา เดิมที่อเมริกานั้นไม่ได้ส่งผู้เล่นที่ดีที่สุดมาแข่งขันในโอลิมปิกเท่าไรนัก ตัวผู้เล่นระดับ NBA ไม่สามารถลงเล่นได้ด้วยกฎของโอลิมปิกที่ห้ามเอานักกีฬาอาชีพมาเเข่งขัน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะตัวผู้เล่นระดับมหาวิทยาลัยหรือ UCLA ก็เกินพอสำหรับเหรียญทองโอลิมปิกที่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก

อย่างไรก็ตาม ในโอลิมปิกปี 1988 ที่กรุงโซล ครั้งนั้น อเมริกา เสียหน้าอย่างหนัก พวกเขาเรียกตัวสมาชิกทีมที่นำโดย เดวิด โรบินสัน, มิช ริชมอนด์, เฮอร์ซี่ ฮอว์กิ้นส์, แดนนี่ แมนนิ่ง และ แดน มาเจิร์ล (ภายหลังเป็นผู้เล่นระดับ NBA ทุกคน) และมี จอห์น ทอมป์สัน ยอดโค้ชจากมหาวิทยาลัย จอร์จทาวน์ เป็นเฮ้ดโค้ช  ทว่าทีมชุดนี้ก็ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง อเมริกา ต้องแพ้ในรอบรองชนะเลิศให้กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างสหภาพโซเวียต ... พวกเขาตอบตัวเองได้เพียงว่านี่คือความล้มเหลว และความผิดหวังมากที่สุดที่พวกเขาเคยเจอมาในการแข่งขันบาสเกตบอลโอลิมปิก 

และเป็นจังหวะดีที่ในการแข่งขันปี 1992 มีการปรับการเเข่งขันแบบใหม่ให้สามารถส่งนักกีฬาอาชีพลงได้ เมื่อนั้น อเมริกา ก็จัดเต็มด้วยทีมที่ถูกเรียกว่า "ดรีมทีม" ประกอบด้วยผู้เล่น 12 คนที่ดีที่สุดใน NBA อย่าง คริสเตียน เลทเนอร์, เดวิด โรบินสัน, แพทริค ยูวิง, แลร์รี่ เบิร์ด, สก็อตตี้ พิพเพ่น, ไมเคิ่ล จอร์แดน, ไคลย์ เดร็กซ์เลอร์, คาร์ล มาโลน, จอห์น สต็อคตัน, คริส มัลลิน, ชาร์ลส์ บาร์คลี่ย์ และ แมจิค จอห์นสัน แถมยังนำทัพด้วย ชัค เดลี่ เฮ้ดโค้ชจาก ดีทรอยต์ พิสตันส์ ... นั่นแหละความโหดของอเมริกาที่แท้จริงจึงได้ปรากฎในการแข่งขันบาสเกตบอลโอลิมปิก

พวกเขาส่งสตาร์ NBA มาแข่งขันในโอลิมปิกปีแล้วปีเล่า และด้วยความที่ NBA คือลีกบาสเกตบอลที่ดีที่สุดในโลก อเมริกา จึงกลายเป็นแชมป์ทุกครั้งไป ไม่มีใครต้านทานได้ ... จนกระทั่งมาถึงปี 2004 อเมริกา ก็ได้ช็อคตาตั้งกันทั้งประเทศ เพราะพวกเขาได้รู้จักทีมบาสเกตบอลทีมหนึ่งที่ "ยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อ" ... นั่นคือทีมชาติ อาร์เจนติน่า ทีมที่สร้างตำนานที่น่าจดจำที่สุดในการแข่งขันบาสเกตบอลโอลิมปิกเลยก็ว่าได้ ... อาร์เจนติน่า ทีมนี้แหละที่ทำให้ยอดผู้เล่นอย่าง อัลลัน ไอเวอร์สัน พูดออกมาเต็มปากว่า "พวกเขาเป็นทีมที่ดีกว่าเรา" 

อาร์เจนติน่า ยุคทอง

แม้จะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องฟุตบอลมากกว่า เพราะเคยได้เเชมป์โลก 2 สมัย อีกทั้งยั้งมี 2 นักเตะที่ดีที่สุดแห่งยุคอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า และ ลิโอเนล เมสซี่ ทว่าในด้านของ บาสเกตบอล นั้น อาร์เจนติน่า ก็เป็นประเทศที่มีปูมหลังด้านนี้มาอย่างยานาน เพวกเขาเล่นบาสกันตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 มีสหพันธ์บาสเกตบอลเป็นของตัวเองตั้งแต่ปี 1921 

อย่างไรก็ตาม อาร์เจนติน่า ก็เป็นแค่เต้ยในระดับทวีปอเมริกาใต้เท่านั้น เมื่อพวกเขาออกนอกทวีปมาเจอกับของแข็งอย่างทีมในยุโรปหรือแม้กระทั่งอเมริกา ก็ต้องประสบความพ่ายแพ้ผิดหวังทุกทีไป 

จนกระทั่งเดินทางมาถึงยุคต้น 2000s การเปลี่ยนแปลงของวงการบาสเกตบอล อาร์เจนติน่า ก็ได้เริ่มขึ้นภายใต้ชื่อที่พวกเขาเรียกกันว่า "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" เพราะในช่วงเวลานั้นพวกเขามีกลุ่มผู้เล่นคนหนุ่มไฟแรง มีฝีมือ และเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เล่นในลีกแข็งแกร่งอย่าง NBA แทบทั้งสิ้น โดยมีสตาร์ของทีมอยู่ 2 คน นั่นคือ มานู จิโนบิลี จาก ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส และ ซานเชซ ฮวน อิกนาซิโอ "เปเป้"  

หากจะถามว่าทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงถูกเรียกว่ายุคทอง ก็ต้องว่าเป็นเพราะพวกเขามีทัศนคติที่ดี มีความกระหายอยากที่จะยกระดับตัวเองอยู่เสมอ แม้พวกเขาจะไม่ใช่นักบาสเกตบอลระดับถวหน้าของโลก แต่ทุกครั้งที่ทีมชุด "ยุคทอง" ของ อาร์เจนติน่า ชุดนี้ลงแข่งพวกเขาตั้งความหวังไว้ที่การเป็นแชมป์เสมอ 

เปเป้ ซานเชซ ให้สัมภาษณ์ก่อนทัวร์นาเม้นต์โอลิมปิกที่กรุง เอเธนส์ จะเริ่มว่า "ผมมาที่กรีซด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มาเที่ยว ไม่ได้มาเสพบรรยากาศ แต่ผมต้องการกลับไปในฐานะผู้ชนะเท่านั้น" 

ความมั่นใจนี้เกิดจากกลุ่มผู้เล่นที่พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด พวกเขาไม่เหมือนนักบาสอาร์เจนติน่ายุคก่อน ๆ ที่ลงเล่นในลีกประเทศของตัวเอง พวกเขาค่อย ๆ ออกไปหาความท้าทายใน อิตาลี รัสเซีย และ เซอร์เบีย หรือแม้กระทั่ง NBA ดังที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น ผู้เล่นกลุ่มนี้เล่นกันมาตั้งช่วงปี 2000 ก่อนที่พวกเขาเริ่มส่งสัญญาณให้โลกได้รู้ว่าบาสเกตบอลของ อาร์เจนติน่า ไม่ธรรมดาอย่างที่หลายคนคิด ด้วยการคว้ารองเเชมป์ FIBA ​​World Cup 2002 (ศึกบาสเกตบอลชิงแชมป์โลก)  

การคว้ารองแชมป์นั้นไม่แปลกอะไร เพราะโดยปกติอเมริกานั้นจะเป็นเต้ยจองแชมป์อยู่ตลอดอยู่เเล้ว ทว่าสำหรับ อาร์เจนติน่า การได้รองแชมป์ในศึกชิงแชมป์โลกนั้นพวกเขาสามารถน็อคอเมริกาที่ขนผู้เล่น NBA กันมายกทีมได้ในรอบแรก ก่อนจะเข้าไปแพ้ให้กับ ยูโกสลาเวีย ในช่วงต่อเวลาของรอบชิงชนะเลิศ

แม้จะแพ้ในรอบชิงแต่การเอาชนะอเมริกาได้ก็สร้างความฮึกเหิมให้กับกลุ่มผู้เล่นคนหนุ่มของ อาร์เจนติน่า ยุคทองนั้นได้เป็นอย่าง มานู จิโนบิลี่ ที่เป็นเหมือนพี่ใหญ่ของทีม เคยให้สัมภาษณ์ว่า อเมริกา อาจจะเอาผู้เล่นระดับ NBA มาแข่ง แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้มากมายเหมือนดรีมทีมชุดเก่า ๆ เพราะพวกเขาเน้นเอานักบาสอายุน้อย ๆ มาแข่งขัน และเอาสตาร์มาไม่มากเหมือนเดิม ดังนั้น อาร์เจนติน่า ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นยุคทองสามารถเอาชนะได้ 

"ทีมชุดนี้ของ อเมริกา ไม่เหมือนกับชุดปี 1992 ตอนนั้นพวกเขาเอาผู้เล่นที่ดีที่สุดในทุก ๆ ตำแหน่ง อย่าเข้าใจผิดล่ะทีมชุดนี้ไม่ใช่ทีมที่อ่อนชั้น พวกเขาเก่งกาจเหมือนกัน แต่พวกเขาหลายคนอายุน้อย ขาดประสบการณ์ในเกมระดับชาติ และด้วยกฎต่าง ๆ ที่แตกต่างกับ NBA ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  ทีมอื่น ๆ ของโลกกำลังดีขึ้นพัฒนาขึ้น ... ขณะที่สหรัฐเลือกลดคุณภาพด้วยการไม่ได้เอาผู้เล่นที่ดีที่สุดของพวกเขามา"  จิโนบิลี่ กล่าว

แม้ จิโนบิลี่ จะบอกเช่นนั้นแต่ในความจริงคือ อเมริกา ชุดโอลิมปิก 2004 ก็มีผู้เล่นระดับ MVP มาแข่งขันด้วย อาทิ ทิม ดันเเคน และ อัลเลน ไอเวอร์สัน ขณะที่ผู้เล่นอายุน้อยในเวลานั้นก็ชื่อชั้นไม่ธรรมดา เลบรอน เจมส์ ในวัย 19  ปี, คาเมโล แอนโธนี่ ในวัย 20 ปี และ ดเวย์น เวด ในวัย 22 ปี พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในยุคสมัยของตัวเองทั้งนั้น 

ขณะที่ อาร์เจนติน่า นอกจาก จิโนบิลี่ และ เปเป้ แล้ว พวกเขายังมีผู้เล่นใน NBA อยู่ในทีมรวมทั้งหมด 7 คน ได้แก่ คาร์ลอส เดลฟิโน, วอลเตอร์ เเฮร์มันน์, อันเดรส โนซิโอนี่, ฟาบริซิโอ โอแบร์โต้, หลุยส์ สโคล่า และ รูเบน วอลคอฟสกี้ อย่างที่ได้กล่าวไว้ พวกอาจจะไม่ดังคับโลก แต่ผู้เล่นเหล่านี้มีความเป็นทีมสูง และมีทัศนคติที่เป็นไปในทิศทาเดียวกัน

"เอาคือเอา" จะพูดแบบนี้ก็คงไม่ผิดนัก และทีมชุดนี้แหละคือทีมที่สร้างประวัติศาสตร์ในโอลิมปิกที่กรุงเอเธนส์ 

เอาคือเอา 

"ทีมชุดโอลิมปิกของเราเต็มไปด้วยสปิริตและกลมเกลียวในแบบที่เรามั่นใจได้เลยว่าพวกเราแตกต่างจากทีมอื่น ๆ เราแทบจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีเรื่องตลกมากมายในแคมป์เก็บตัวและหมู่บ้านนักกีฬาที่โอลิมปิก และเราเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าทีมไหน ๆ" มานู จิโนบิลี กล่าว 

ในรอบแรกของโอลิมปิก 2004 ผลงานของ อาร์เจนติน่า ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาแพ้ให้กับ สเปน และ อิตาลี แต่ก็ยังเอาตัวรอดจากชัยชนะในเกมที่พบกับ จีน และ นิวซีแลนด์ ทำให้เขารอบต่อไปในฐานะอันดับ 3 ของกลุ่ม แต่ของจริงเริ่มตั้งแต่รอบน็อคเอาต์ต่างหาก  

เพราะทีมต่อไปที่รอพวกเขาอยู่คือ กรีซ เจ้าภาพการแข่งขันครั้งนี้ ที่มีแฟน ๆ เข้ามาเชียร์มากถึง 19,000 คนเต็มความจุของสนาม

อย่างไรก็ตามเรื่องมันเป็นอย่างที่ มานู จิโนบิลี บอก นั่นคืออาร์เจนติน่าชุดนี้คือทีมที่พร้อมด้วยศักยภาพรอบด้าน ความเขี้ยวลากดินในการแข่งขัน ประสบการณ์ระดับนานาชาติ ฝีไม้ลายมือที่ไม่ธรรมดาในแต่ละคน และแน่นอนที่สุดคือพวกเขามาแข่งขันด้วยสภาพจิตใจที่เต็ม 100% ไม่กลัวใครทั้งนั้น  ที่สุดแล้ว อาร์เจนติน่า ก็สามารถเอาชนะ กรีซ ได้ด้วยสกอร์ 69-61 เข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายไปพบกับ อเมริกา ทีมเต็ง 1 ประจำทัวร์นาเม้นต์ 

"พรุ่งนี้เราจะเอาชนะทีมสหรัฐอเมริกา!" นี่คือเสียงที่ดังกึกก้องจากห้องแต่งตัวของทีมชาติอาร์เจนติน่าหลังพวกเขาโค่น กรีซ เจ้าภาพได้สำเร็จ 

อย่างไรก็ตามการเอาชนะ อเมริกา นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต่อให้อเมริกาจะเลือกใช้ดาวรุ่งมาในทีมชุดนี้เป็นส่วนใหญ่ แต่อเมริกาก็คืออเมริกา นับตั้งแต่โอลิมปิกปี 1992 ที่กำเนิดดรีมทีม พวกเขาก็เคยพลาดการคว้าเหรียญทองเลยแม้แต่ครั้งเดียว  

บนความมั่นใจ อาร์เจนติน่า ยังคมถ่อมตัวจนกว่าจะลงสนาม ทุกคนในทีมต่างพูดผ่านสื่อไม่ต่างกันนั่นคือ "พวกเรายังมีโอกาส หวังว่าโชคจะเข้าข้าง" ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ภายในใจของพวกเขา "อเมริกา คือต้นกำเนิดของบาสเกตบอล แต่บางทีโชคดีอาจจะเป็นของเราก็ได้ในเกมนี้" รูเบน ปาโบล มักนาโน โค้ชของ อาร์เจนติน่า กล่าวก่อนเกม 

หลังจากเสียงนกหวีดเริ่มเกม อาร์เจนติน่า แสดงให้เห็นในสนามมากกว่าที่พวกเขาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ พวกเขาเล่นเกมรับกันอย่างเเข็งแกร่ง สร้างความลำบากให้กับ อเมริกา เป็นอย่างมาก ส่วนผู้เล่นอย่าง จิโนบิลี และ เปเป้ เริ่มแสดงถึงศักยภาพที่เด่นชัดออกมาในเกมนี้ ไม่ว่าจะวงในวงนอก โดยเฉพาะ จิโนบิลี นั้นทำไปคนเดียว 29 แต้มในแมตช์นั้น 

เขาทำให้ผู้เล่นที่กำลังขึ้นรุ่นของ อเมริกา ได้เห็น "เพอร์เฟ็กต์เกม" ด้วยตาของตัวเอง โดย จิโนบิลี เคยพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เขาระเบิดฟอร์มสุดยอดในโอลิมปิกครั้งนั้นคือเขามีความมั่นใจอย่างมากที่จบทัวร์นาเม้นต์ด้วยการเป็นแชมป์

"เรามาที่นี่ด้วยเงื่อนไขเดียวเท่านั้น คือการได้เหรียญทองกลับไป เรามาเพื่อเป็นผู้ชนะ เราไม่ได้คิดไปเองสำหรับเรื่องนี้ และเรารู้ว่าเราจะทำมันให้สำเร็จได้อย่างไร" 

จิโนบิลี ฉายเกมรุกจนเเนวรับอเมริกาไม่มีใครเอาเขาอยู่ ไม่แม้กระทั่ง ทิม ดันแคน เพื่อนร่วมทีม ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส ของเขา โดย อัลเลน ไอเวอร์สัน ผู้เล่นของ อเมริกา ยอมรับว่าการเจอกับ อาร์เจนติน่า คือสิ่งที่เหนือความคาดหมาย พวกเขาทำให้ อเมริกา กลายเป็นทีมที่ดูด้อยกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ และท้ายที่สุด อาร์เจนติน่า ก็เอาชนะ อเมริกา ไป 89 ต่อ 81 

"เราพยายามอย่างหนักเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่เราก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้ ถึงจุดนั้นเราต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นทีมที่ดีและพร้อมที่จะเป็นผู้ชนะมากกว่าเรา" อัลเลน ไอเวอร์สัน กัปตันของ อเมริกา กล่าว

คุณสามารถเห็นความสำคัญของชัยชนะนัดนี้ได้อย่างชัดเจนในจังหวะสุดท้ายที่ อัลแบร์โต้ สโคล่า ผู้เล่นของ อาร์เจนติน่า ฝ่าแนวรับอเมริกาลงไปดังค์เต็มห่วงในช่วง 4 วินาทีสุดท้าย เพราะหลังจากที่เขาดังค์ลูกนั้นสำเร็จผู้เล่นและโค้ชของ อาร์เจนติน่า ก็กระโดดดีใจสุดตัว พวกเขากอดกันด้วยความยินดี และผู้เล่นหลายคนถึงกับเข่าทรุดเอามือกุมหน้า อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าความพยายามอันยาวนานของพวกเขาได้บรรลุผลเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว 

"พวกเขามีผู้เล่นบาสเก็ตบอลที่เก่งที่สุดในโลก วันนี้เราตระหนักแล้วว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้'' โค้ชของ อาร์เจนตินา กล่าวทั้งน้ำตาหลังจากคว้าชัยชนะแบบหักปากกาเซียนครั้งนัน้ 

อาร์เจนติน่า ชุดนั้นมีคุณสมบัติของแชมป์เหมือนกับที่ ไอเวอร์สัน บอก พวกเขาเเกร่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการเเข่งขันผ่านไป และยิ่งเข้าใกล้ตำแหน่งก็ไม่มีใครหยุด อาร์เจนติน่า ยุคทองได้จริง ๆ 

ในรอบชิงชนะเลิศ อาร์เจนติน่า ต้องเจอกับ อิตาลี ทีมที่พวกเขาแพ้ในรอบเเบ่งกลุ่มอีกครั้ง และรอบนี้ อาร์เจนติน่า เอาชนะด้วยสกอร์ขาดลอย 84 ต่อ 69 จบทัวร์นาเม้นต์ด้วยการคว้าเหรียญทองดังที่พวกเขาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก และกลายเป็นแชมป์ครั้งแรกในการแข่งขันระดับโลกของพวกเขาจนถึงทุกวันนี้... 

 

ผู้แต่ง
The Sporting News Photo

Beyond the score: The sports world explained. The Sporting News has been a trusted sports media publisher since 1886, delivering the news, insights and entertainment that fans around the world need to know.